เรื่องโดย ครองขวัญ รอดหมวน

แม้จะจบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคนกันแล้ว แต่สายใยแห่งความผูกพัน และเชื่อมโยงยังมีให้กันอยู่เสมอ ผ่านการให้ความช่วยเหลือ และดูแลกันในหลายๆมิติ ภายใต้เครือข่าย “OMAC Business Network” ของสมาคมอัสสัมชัญ เช่นเดียวกับอัสสัมชนิกรุ่นพี่อย่าง “ขจร พงศ์รพีพร” เลขประจำตัว 28713 รุ่น 104 และรุ่นน้อง 2 คน “พณธกร พึ่งชาญชัยกุล” เลขประจำตัว 44352 กับ “ศุภชัย สุวรรณชัยยง” เลขประจำตัว 44414 รุ่น 127 ที่แม้จะห่างกัน 20 กว่ารุ่น แต่ก็ยังสามารถโคจรมาเจอกันผ่านกิจกรรมที่สมาคมฯจัดขึ้น ในการจัดพบปะกันของอัสสัมชนิกตามกลุ่มอาชีพ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ไปจนถึงการให้ความช่วยเหลือระหว่างกัน โดย“ขจร–พณธกร–ศุภชัย” ได้สร้างเครือข่ายเล็กๆของพวกเขาผ่านกลุ่มของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) นั่นเพราะคนหนึ่งขายเนื้อ และอีกสองคนเปิดร้านสเต็ก
“ขจร” เริ่มเล่าว่า แต่เดิมเป็นคนที่ชอบกินเนื้ออยู่แล้ว แต่ธุรกิจที่ทำก่อนหน้านี้คือขายเครื่องจักรงานก่อสร้าง ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเลย แต่ด้วยความชอบจริงๆ จึงได้ลงมาสัมผัสธุรกิจด้านเนื้อดู และก็ได้มารู้จักกับ “เนื้อโคขุนดอกคำใต้” ภายใต้การบริหารจัดการของสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้จังหวัดพะเยา ซึ่งถือเป็นเครือข่ายความร่วมมือ ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ภายใต้การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งมหาวิทยาลัย ปศุสัตว์จังหวัด สหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด ไปจนถึงกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค
ต้องยอมรับส่วนหนึ่งว่า “เนื้อโคขุนดอกคำใต้” ยังค่อนข้างใหม่ในตลาดเมื่อเทียบกับเนื้อชนิดอื่นๆ เพราะเนื้อโคขุนดอกคำใต้ เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างจริงจัง และมีการรับประทานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของเนื้อโคขุนดอกคำใต้ คือ รสชาตจัดจ้าน เรียกได้ว่ารับประทานเข้าไปคำแรกรู้เลยว่านี่คือเนื้อโคขุนดอกคำใต้แน่นอน
“ตอนที่ได้กินเข้าไป จะได้ความรู้สึกว่าเนื้อมีรสชาติเข้มข้น จัดจ้าน ถ้าเป็นภาษาคนกินเนื้อพูดกัน ก็จะบอกว่า เคี้ยวแล้วสู้ฟัน เหนียว แต่ไม่ต้องเคี้ยวเยอะ ไม่ติดฟัน” อันนี้เป็นจุดเด่นของเนื้อโคขุนดอกคำใต้ แต่ถ้าพูดกันถึงภาพลักษณ์ภายนอก ก็ต้องบอกเลยว่า เนื้อโคขุนดอกคำใต้ก็มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร เพราะเป็นเนื้อชนิดที่มีไขมันแทรกน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อสายพันธุ์อื่น เรียกว่าเป็นเนื้อสไตล์ยุโรป และไม่มีกลิ่นฉุน จึงง่ายต่อการรับประทาน ถือว่าเป็นเนื้อที่มีคาแรกเตอร์น่าสนใจ
ความที่ไม่มีกลิ่นฉุน คือ จุดเด่นที่นอกเหนือจากรสชาติ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเพราะกรรมวิธีการเลี้ยงและสูตรอาหาร ถือเป็นไม้ตายของเนื้อโคขุนดอกคำใต้เลยก็ว่าได้ “ขจร” เล่าว่า สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ฯ จะมีการแจกสูตรอาหารให้กับสมาชิก โดยการเลี้ยงด้วยธัญพืชอย่าง สับปะรด และฟักทอง ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงประหยัดต้นทุนได้อยางมหาศาลแล้ว แต่การเลี้ยงด้วยธัญพืชชนิดนี้ ยังช่วยทำให้ไขมันของเนื้อโคขุนดอกคำใต้ไม่เป็นสีเหลือง เหมือนเนื้อต่างประเทศบางชนิด และยังทำให้ไม่มีกลิ่นฉุน หรือกลิ่นสาบอีกด้วย
“การจะเลี้ยงโคขุนให้ได้คุณภาพ ต้องมีการบำรุง การให้อาหารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้เกิดมันแทรกภายในเนื้อ อีกทั้งรสชาติก็จะถูกปากผู้บริโภคอีกด้วย” ขจร ระบุ
สำหรับกระบวนการเลี้ยง ก่อนจะมาเป็นโคขุนดอกคำใต้นั้น เกษตรกรเลี้ยงประมาณหนึ่งปีขึ้นไป แล้วจึงขุน 6-8 เดือน ทำการเชือดเมื่ออายุเกินสองปี โดยโคจะมีน้ำหนักประมาณ 400-600 กิโลกรัม คำถามคือ ทำไมถึงต้องเริ่มเชือดตอนโคอายุ 2 ปีเศษๆ นั่นก็เพราะว่าช่วงอายุดังกล่าวเป็นช่วงที่เนื้อกำลังอร่อย ซึ่งตรงนี้มีงานวิจัยออกมารับรองว่า เนื้อวัวที่อร่อยจะอยู่ที่ช่วงอายุ 30 เดือน
“ขจร” เล่าอีกว่า ปัจจุบันตลาดเนื้อดอกคำใต้ในประเทศไทยเติบโตได้เรื่อยๆ ไม่ได้โตอย่างก้าวกระโดด มูลค่าเฉลี่ยปีละประมาณร้อยกว่าล้านบาท แม้จะเป็นเนื้อฟอร์มดีก็ตาม นั่นเพราะตลาดเนื้อในประเทศไทยมีหลายประเทศ ทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูง คู่แข่งค่อนข้างมาก ทั้งคู่แข่งจากใน และต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาด ตัดราคากันสุดฤทธิ์ แต่ถ้าเทียบฟอร์มแล้วเนื้อโคขุนดอกคำใต้ ไม่แพ้เนื้อนอกแน่นอน แถมราคายังถูกกว่าค่อนข้างมาก
ด้วยความที่ “ขจร” คว่ำหวอดอยู่ในวงการเนื้อโคขุนดอกคำใต้ และด้วยกลไกความเชื่อมโยงของสมาคมอัสสัมชัญ ทำให้ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับ “พณธกรและศุภชัย” เด็กหนุ่มที่ชื่นชอบ และรักในการกินเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ จนตัดสินใจเปิดร้านสเต็ก ภายใต้ชื่อ “Meating.Steak” บนถนนราชพฤกษ์
“พณธกร” เริ่มเล่าว่า เรียนจบด้านธุรกิจภาษาจีน จากปักกิ่ง และได้มีโอกาสทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งอยู่ช่วงหนึ่ง แต่รู้สึกไม่ตรงกับความชอบของตัวเอง และด้วยที่เป็นคนชอบทำอาหาร และชอบกินเนื้อมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพอทำงานบริษัทไปถึงจุดหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าไม่อยากทำต่อ ก็ลาออก และมีโอกาสได้คุยกับ “ศุภชัย” ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนที่อัสสัมชัญ และเรียนจบด้านเชฟมา แถมชอบกินเนื้อเหมือนกัน เลยตัดสินใจทำร้านอาหารด้วยกัน และด้วย “เพราะอยากทำ” ตอนนั้นยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก รู้แค่เราชอบทำอาหาร ก็คิดว่าทำได้
“ยอมรับว่ากว่าจะมาเป็นร้านนี้ เหนื่อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นมือใหม่ในวงการอาหารที่เริ่มต้นมาจากความชอบล้วนๆ แม้ว่าเราจะมีการเตรียมตัวมาแล้ว มีไปลงเรียนเกี่ยวกับการปรุงเนื้อโดยเฉพาะ มีการศึกษาหาข้อมูล ดูทำเล ดูตลาดอาหารมาแล้ว แต่พอมาทำจริงก็รู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ และบางอย่างที่ได้จากชั้นเรียนก็ไม่สามารถตอบโจทย์กับสิ่งที่เราต้องทำจริงๆได้เสมอไป เพราะการทำร้านอาหารมีเรื่องให้คิดและทำอยู่ตลอดเวลา”
ไอเดียของร้านนี้ง่ายๆเลยก็คือ “เนื้อ” คำเดียว เราใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อ กระบวนการผลิต วัตถุดิบ ทุกขั้นตอน เพราะซิกเนเจอร์ของร้านเราคือ “เนื้อ” เรามีเมนูที่หลากหลาย แม้ว่าหลักๆจะเป็นสเต็ก แต่ก็มีกะเพราเนื้อ ไว้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วย ซึ่งปรากฎว่าเมนูกะเพราะเนื้อติดอันดับเมนูยอดฮิตของร้านด้วย นั่นเพราะเนื้อที่เราเลือกใช้เป็นเนื้อน่อง ซึ่งจะมีเอ็น เป็นส่วนที่คนไทยชอบกินมาก ดังนั้นราคากะเพราของร้านจึงอาจจะสูงกว่าที่อื่น ซึ่งก็พยายามอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่าเนื้อที่เราใช้เป็นเนื้อชั้นดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “เนื้อโคขุนดอกคำใต้” นั่นเอง (จากการแนะนำของคุณอาแท้ๆของ “พณธกร” ซึ่งก็คือ “อภิภพ พึ่งชาญชัยกุล” เลขประจำตัว 31698 รุ่น109 รองเลขาธิการสมาคมอัสสัมชัญ ที่เป็นคนชอบทานเนื้อเป็นชีวิตจิตรใจเหมือนกัน)
ไอเดียในการทำร้าน “Meating. Steak” หลังจากนี้ก็คือ อยากเอาทุกส่วนของวัวมาทำอาหาร ตรงนี้ยอมรับเลยว่าเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละส่วนของวัวมีความมัน ความเหนี่ยว และองค์ประกอบต่างๆ ไม่เท่ากันเลย ดังนั้นการจับแต่ละส่วนมาทำอาหาร ไม่ให้เหนียวเกินไป ฉุนเกินไป จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าลอง และจะต้องทำให้ได้ เพราะธุรกิจอาหารในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแข่งขันกันที่รสชาติเท่านั้น แต่ยังแข่งขันกันในด้านการขายไอเดีย การคิดเมนูใหม่ๆที่โลกยังไม่มี ซึ่งร้าน “Meating.Steak” พยายามคิดเสมอว่าคนจะชอบกินอะไร จะใส่อะไรให้อาหารของเราอร่อยกว่าร้านอื่น ร้านอื่นยังไม่มี และลูกค้าชอบ ทั้งหมดคือการหมุนไป ไม่หยุดนิ่ง !
OMAC Business Network และ OMAC Online Magazine ก็ขอเชิญชวนอัสสัมชนิก “สายเนื้อ” ให้ลองหาโอกาสแวะเวียนไปชิม “เนื้อโคขุนดอกคำใต้” ว่าเยี่ยมเหมือนที่ “ขจร” ได้กล่าวแนะนำไว้ได้ที่ร้าน “Meating.Steak” ของ “พณธกร–ศุภชัย” ซึ่งทั้ง 2 คนก็ยินดีมอบส่วนลด 10% ให้กับอัสสัมชนิกทุกท่านที่มาทักทาย และอุดหนุนกันประสาพี่ๆน้องๆไปจนถึงสิ้นปี 2562 เลยทีเดียว
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/q4dHZTwAkjFjz5gy6
ติดต่อจองที่นั่งหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 0811730471